จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ซารุโซบะ(โซบะเย็น) ใครๆก็ทำได้นะจ๊ะตัวเธอ ไม่ต้องญี่ปุ่นจ๋าก็อร่อยได้เจ้าาาาา

ตามที่บทความก่อนได้กุ้งมา   แล้วดันเดินไปเจอกับเส้นโซบะที่วางเรียงรายนับสิบห่อ  เดินไปสะดุดเจอห่อนึง 49 บาท!!!!!!!!!!  จากที่ห่ออื่นเป็นร้อยขึ้น  เลยสอยมาห่อนึง
ตอนนั้น นึกในใจว่าจะไปริมปิง(ห้างขายของนำเข้า อารมณ์วิลล่า) ของเชียงใหม่  ชั้นจะไปซื้อซอส มาทำ นู่นนี่  จะต้มดาชิ ใส่มิริน น้ำตาลบลาๆๆๆๆ
แต่พอ มาเมื่อวาน  คุณแม่อยากทานซุปใส  ปรกติฟลุ๊คจะทำซุปใสแล้วใส่ถ้วยแช่แข็งไว้ ใส่ผักกาดขาว กวางตุ้งฮ่องเต้ ต้มพอให้สุก แต่ยังไม่อ่อนนุ่ม แล้วเวลาเอาออกมาอุ่นเค้าจะได้ไม่เละ ทานกำลังดีค่ะ  อยากทานเมื่อไหร่ก็เอาออกมาอุ่นเติมเต้าหู้อ่อนลงไปก็ทานได้เลย
แล้ว เกี่ยวอะไรกับโซบะใช่มั้ยคะ   ก็พอต้มซุปใสให้คุณแม่  จะใส่ มิโสะ  กระดูกหมู  โครงไก่  คนอร์1ก้อน  แอ๊ปเปิ้ล  หอมหัวใหญ่  แตงกวา  และหัวไชเท้า  ต้มไปเรื่อยๆ  จนซุปหอมหวานกลมกล่อม  หันมาทำซอส  โชยุ + น้ำตาล  แต่ฟลุ๊คใช้น้ำเชื่อมที่เค้าใช้แทนน้ำตาลได้นั่นแหละค่ะ ประมาณ 2 ช้อนชา  คนให้เข้ากัน  แล้วตักน้ำซุปที่ได้ที่ ลงไปคนผสมกัน  ทิ้งไว้ให้เย็น  แช่ตู้เย็นก็ได้นะคะ     ในขณะนั้นเราก็ต้มเส้นโซบะในไมโครเวฟ  ต้มน้ำในถ้วยใหญ่จนเดือดก่อน  แล้วน้ำเส้นลงไปต้มอีกประมาณ 4 นาที  เอาออกมาคนระหว่างนั้นซัก 2 รอบค่ะ   พอเสร็จก็นำไปล้างน้ำเย็น  นวดนิดๆอย่าแรง  จะได้เส้นที่เหนียวนุ่มไม่กระด้าง  เสร็จแล้วก็พักเส้นไว้  มาขูดไชเท้า  ไม่มีที่ขูดก็สับไปเรื่อยๆค่ะ สับจนละเอียดนั่นแหละค่ะ  แล้วก็ซอยต้นหอม  ส่วนวาซาบิฟลุ๊คใช้แบบหลอดค่ะ  ขึ้นจมูกมากกว่าแบบเป็นผงแล้วมาผสมเองนะคะ  
แล้วก็ออกมาเป็นซารุโซบะแสนง่าย  อร่อยสุดๆค่ะ   อาจจะเป็นเพราะซอสเราทำเองเลยถูกปากกว่า   ซอสที่เป็นวิบวับแบบนี้เพราะตักน้ำซุปที่ต้มจากโครงไก่และกระดูกหมู ก็เลยมีไขมันออกมานิดหน่อย   ถ่ายออกมาแล้ววิบวับสวยดีค่ะ  อิอิ
ทำไมยากเลย  ยังไงก็ลองไปทำทานกันดูนะคะ  


เมื่อไปเจอกุ้งแชบ๊วยลดราคา!!!!!!!!!!!! มันอดใจไม่ไหวน่ะ

ขออภัย ที่หายไปนาน  พอดีไม่สบาย  ทำอะไรไม่ค่อยสะดวกก็เลยไม่ได้เขียนหรือทำอาหารลงบล๊อคซักเท่าไหร่   แต่วันนี้เริ่มดีขึ้นและคันไม้คันมืออยากจะทำอะไรอร่อยๆทานขึ้นมา  ก็เลย......

ขออภัยอีกครั้งหนึ่ง คือมันไม่ได้ตั้งใจจะเอามาอวดค่ะ
เลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้ตั้งแต่แรกเหมือนคราวก่อนๆ
แต่พอใส่มั่วๆทำออกมาแล้ว   ป๊าดดดดดดดดดดดดดดดดดมันเด็ดๆๆ
ได้เจ้ากุ้งแชบ๊วยตัวโตๆมาที่เค้าขายโลละ 7xx น่ะค่ะ
แต่พอดีว่าหัวหลุดไปแล้ว  เลยเอามาแพ๊คขาย แพ๊คละ 60-80 บาท ตามน้ำหนัก
ไอ้เรารึก็เลยจัดมา 3 แพ๊ค  ไม่รู้จะสดมั้ยถ้ารู้ว่าเด็ดแบบนี้  เหมามาหมดก็ดี  อิอิ
เครื่องปรุงไม่มีอะไรมากค่ะ  กุ้งแชบ๊วยที่เราได้มา  ล้างให้สะอาด  ไม่ต้องแกะเปลือกนะคะ  มันอร่อยตอนดูดน้ำออกจากเปลือกนี่แหละค่ะ
ว่า แล้วก็  สับพริกขี้หนูสดกับกระเทียม  สับหยาบๆก็พอค่ะ  และหันมาราดกุ้งด้วยซอนปรุงรสภูเขาทอง  ซอสหอยนางรมอีกนิดหน่อย   เครื่องเทศกระเทียม+ผิวส้มยี่ห้อใดก็ได้อีกหน่อย  พริกไทยดำอีกหยิบมือ
ใส่ น้ำมันมะกอกในกระทะพอร้อน  ไม่ต้องมากนะคะ  เพราะเราจะผัดค่ะไม่ได้ทอด   แล้วใส่กระเทียมและพรกสับหยาบลงไปคั่วให้หอม  พอสำลัก  แล้วลงกุ้งที่เราโรยเครื่องปรุงไว้พร้อมสรรพ  เสร็จแล้วจับตะหลิวคั่วให้หอม  จะใส่เนยลงไปด้วยก็ไม่ว่ากัน  มันจะเด็ดตอนคลุกข้าวสวยร้อนๆมากค่ะ  ผัดไปเรื่อยๆจนน้ำงวดพอขลุกขลิก  ตักใส่จานพร้อมกับข้าวสวย  มันเด็ดมวากกกกก
ทั้งเผ็ดมันเค็ม   ^^

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แฮมเบอเกอร์เนื้อหนานุ่มชุ่มฉ่ำทั้งคำ

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกคน  ขอโทษที่หายไปนานเลย  เนื่องจากมีเรื่องกลุ้มใจหลายอย่างจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้น  T^T  แต่วันนี้ (1 มิย 55) ถูกหวยค่ะ  เกิดมาพึ่งเคยถูกหวย!!!!!!!!!!!!  ถามว่าถูกเท่าไหร่  20 บาท  555  ก็คนมันงบน้อยอ่ะนะ
จึงอารมณ์ดีและอยากทำของอร่อยๆให้คุณแม่ทานด้วย
ก็เลยเป็นที่มาของเบอเกอร์เนื้อแสนอร่อยนั่นเองจ้า  มาเริ่มกันด้วยไปจ่ายตลาด  เลือกซื้อเนื้อบด
ฟลุ๊คเลือกซื้อที่แมคโครค่ะ  เนื้อเค้าจะดีหน่อย  เลือกเป็นเนื้อโคขุนบด มากน้อยแล้วแต่จำนวนผู้รับประทานนะคะ  ส่วนผักก็เลือกมาแค่พอทำสลัดและใส่ในเบอเกอร์เท่านั้น  ริมปิง(เชียงใหม่) มีผักสลัดพร้อมรับประทาน  ถุงละ 25-35 บาท  เลือกแล้วแต่ชอบค่ะ ชีสก็ซื้อแบบเป็นแผ่นมาเลยก็ได้ค่ะง่ายดี  จะใช้เป็นแบบธรรมดา หรือแบบรมควันก็ได้ค่ะแล้วแต่ความชอบเลย และที่ขาดไม่ได้คือมะเขือเทศลูกโตๆฉ่ำๆ  ยิ่งโตแบบหั่นชิ้นนึงวางพอดีเบอเกอร์เลยก็ได้ค่ะ  และหอมหัวใหญ่  จะใช่เป็นหอมแขกสีม่วงอ่อนก็ได้นะคะ  สีสันสวยงามดีค่ะ
มาเริ่มกันที่การปรุงเนื้อ  ปรุงแบบคนไทย  หรือตามที่เราชอบค่ะ  สูตรง่ายๆเลย คือสับหัวหอมใหญ่ละเอียดลงไปประมาณครึ่งหัว  ใส่แป้งข้าวโพดลงไปเล็กน้อย  ใครจะใส่หรือไม่ก็ได้นะคะ  แต่ที่ฟลุ๊คใส่เพื่อเนื้อจะได้ติดกันไม่แตกค่ะ  ตอกไข่ไก่ลงไปซัก 2 ฟอง  ปรุงรสด้วย พริกไทยดำ ซอนปรุงรสภูเขาทองฝาเขียว  หรือ แม๊กกี้ค่ะ  ซอสหอยนางรมเล็กน้อย  ตามปริมาณของเนื้อนะคะ  เท่านี้เลยค่ะ  คลุกค่ะ  เอามือเรานี่แหละค่ะ  คลุกไปเลย  ให้เข้ากัน
 ใครไม่มั่นใจยังไงทำกับข้าวก็ต้องใส่ผงปรุงรสไว้ก่อน  ก็อนุญาตินะคะ  ไม่ห้ามกัน  แต่ฟลุ๊คไม่ได้ใส่เท่านั้นเองจ้าาาา  พอคลุกจนเข้าที่ก็ทิ้งไว้สักครู่  หันไปจี่ขนมปังเตรียมไว้เลยจ้า  เลือกขนมปังสำหรับทำแฮมเบอเกอร์จะยี่ห้อไหนก็ได้แล้วแต่ชอบค่ะ  แต่วันนี้พอดีไปเดินริมปิงด้วยก็เลยเลือกแบบโฮมเมดที่ขายในริมปิงมาค่ะ  3 ชิ้น 32 บาท  เนื้อขนมปังเค้านุ่มไม่กระด้างดี  ปาดเนยซักเล็กน้อย อย่าเยอะนะคะ  เดี๋ยวขนมปังจะชุ่มเกินไป  หย่อนลงไปบนกระทะได้เลยค่ะ  แล้วนำขนมปังที่ผ่าครึ่ง หรือ ผ่าค่อน(คือเหลือด้านล่างน้อยกว่าด้านบน) ลงไปจี่กับเนยในกระทะได้เลยค่ะ 
พอเสร็จแล้วก็รอซักครู่  ถึงคราวเอาเนื้อลงกระทะ  ใครจะใช้เนยเพื่อเพิ่มความหอม  หรือน้ำมันมะกอกก็ได้นะคะไม่ว่ากัน  แต่ฟลุ๊คใช้ทั้งเนยนิดหน่อยเอาพอหอม  กับน้ำมันมะกอกลงกระทะเลยค่ะ  แต่ไม่ใช่ลงพร้อมกันนะคะ  เพราะเนยจะไหม้  ลงน้ำมันก่อนพอร้อนก่อนลงเนื้อเราก็ปาดเนยลงไปค่ะ  ปั้นเนื้อเป็นวงกลมประมาณฝ่ามือ  หรือใครอยากได้ใหญ่กว่านั้นก็ได้ค่ะ  แต่อย่าให้เกินขนาดของขนมปังมากนะคะ  พอปั้นวางทิ้งไว้เป็นก้อนๆ ก็โรยด้วยเกลือนิดหน่อย พริกไทยดำนิดหน่อย  หรือใครจะใช้ผงสำเร็จสำหรับทำสเต๊กโรยลงไปเลยก็ได้ค่ะ    แต่ระวังนะคะเพราะเกลือในผงโรยสเต๊กจะเม็ดใหญ่ใส่มากไปอาจจะเค็มเกินไปค่ะ
พอเอาเนื้อลงกระทะก็ปิดฝาค่ะ  ทอดเนื้อในกระทะร้อนๆ ไปประมาณด้านละ 2 นาทีครึ่ง ถึงสามนาที  ทอดทีละด้าน  ห้ามทอดกลับไปกลับมา เพราะเนื้อจะไม่ชุ่มแข็งกระด้างได้ค่ะ
พอพลิกอีกด้านก็ปิดฝาค่ะ  ให้สีด้านนอกเกรียมๆ  ด้านในจะฉ่ำน้ำมากๆค่ะ  พอทอดเสร็จก็จัดวางบนขนมปัง  ใส่ผักตามชอบเลยค่ะ  โปะชีสลองไป ใครชอบดับเบิ้ลชีสก็จัดไปเลย 2 แผ่นนะคะ  เหมาะแท้เหลาเลยล่ะค่ะ

เท่านี้เราก็จะได้เบอเกอร์แสนอร่อย แถมทำได้เองง่ายๆไว้ทานกับเบียร์เย็นๆ หรือ วอดก้ามะนาวโซดาก็ไม่เลวนะคะ

นอกจากจะทำเป็นแฮมเบอเกอร์แบบอเมริกันแล้ว  เรายังทำน้ำซอสราดแบบข้าวแฮมเบิกให้เจ้าตัวน้อย หรือคนที่คุณรักไปทานที่ทำงานได้ด้วยนะคะ  ซอสที่ราดก็น้ำเนื้อที่เหลือในกระทะ  หั่นเห็ดลงไปผัดพอสุก  แล้วใส่ซอสมะเขือเทศ  ปรุงรสด้วยน้ำตาลเล็กน้อย  แม๊กกี้หรือโชยุอีกเล็กน้อย  เท่านี้ก็ได้น้ำซอสแสนอร่อยราดลงไปบนข้าวและเนื้อได้แล้วค่ะ

เมนูที่เด็กๆน่าจะชอบนะคะ  ส่วนตัวฟลุีคไม่มีเด็กๆ  ก็ทำไว้ห่อไปทานที่ทำงานเองค่ะ
หรือใครที่กลัวจะเลี่ยนมากไป แนะนำให้ทานกับข้าวสวยพร้อมสลัดค่ะ  อาจจะซอยพริกบีบมะนาวลงไปบนสลัดเล็กน้อยเพื่อแก้เลี่ยนได้  นี่ก็เป็นอีกเมนูสำหรับห่อให้คนที่รักไปทานที่ทำงานได้นะคะ หนีบซอสมะเขือเทศให้เค้าไปหน่อยก็ดีค่ะ
น้ำสลัดจะใช้เป็นบาลซาลมิค+น้ำมันมะกอก  หรือซื้อน้ำสลัดญี่ปุ่นมาก็อร่อยไม่น้อยเลยค่ะ

ไม่ยากเลยสำหรับเบอเกอร์เนื้อนะคะ  อย่าลืมเอาไปลองทำ หรือ ทำให้คนที่คุณรักทานด้วยนะคะ
Bon appetit ค่ะ ^^