จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ลมหนาวมาแว้ววววว ทำสตูไก่สูตรบ้านๆ แต่อร้อยยยอร่อยมาเสริฟจ้า

สวัสดีค่ะคุณพ่อขายาวที่รัก  และมิตรรักแฟนเพจทุกท่าน  เข้าเดือนตุลาแล้ว  เริ่มรู้สึกได้ถึงลมหนาวเบาๆ  ชอบที่สุดก็ตอนฝนตกปรอยๆ  ลมหนาวพัดมาพร้อมกับไอดิน  มันหอมและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก  หลงรักกลิ่นนี้มาตั้งแต่เด็กๆ   มีความทรงจำมากมายในช่วงปลายฝนต้นหนาว
ดังนั้นพอเราได้กลิ่นดิน มาพร้อมกับลมหนาว  ก็เหมือนได้นั่งทามแมชชีนได้ย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องราวดีๆในอดีต  แล้วก็อดนั่งยิ้มคนเดียวเสียไม่ได้
ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องราวดีๆให้นึกถึง  บางคนก็มีความทรงจำที่โหดร้ายในช่วงเวลานี้เช่นกัน
เพื่อนของฟลุ๊คคนหนึ่งพึ่งเลิกกับแฟนค่ะ  เพื่อนของฟลุ๊คคนนี้โดนทุกคนว่า  ว่าทำไมไม่ยอมเลิกกับผู้ชายคนนี้เสียที  ทั้งๆที่เค้าทำให้เพื่อนของฟลุ๊คเจ็บมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  
ฟลุ๊คก็เป็นคนหนึ่งที่ว่ามัน  แต่ว่าด้วยความรัก  มักจะพูดกับเพื่อนเสมอว่า  "ทุกคนรักมึง  แต่ทำไมมึงถึงไม่รักตัวเองเลย"   เพื่อนน้ำตาไหล  พูดแค่ว่า  "กูรู้  กูรู้ทุกอย่าง  กูแค่รอเวลา"  
วันนี้ถึงเวลานั้นแล้ว  เพื่อนของมันทุกคนดีใจ  เรียกได้ว่าแทบจะไปรำแก้บนกันเลยก็ว่าได้

....."คนเราเมื่อรักใครมากๆ  มากจนลืมไปแล้วว่าการรักตัวเองความรู้สึกมันเป็นอย่างไร   แล้วคุณไปทำให้เค้าเสียใจอย่างที่สุด   เมื่อถึงเวลานั้น  คนคนนั้นจะหันกลับมารักตัวเอง....อย่างที่ไม่เคยรักมาก่อน" ....
ร้องไห้ให้พอ   "การร้องไห้ไม่ใช่การแสดงออกถึงความอ่อนแอ  เพียงแค่บางเวลามันเกินจะระบายออกมาเป็นคำพูด   ออกมาเป็นข้อความ  มันแค่อยากร้องไห้"
เมื่อก่อนเวลาฟลุ๊คไม่สบายใจ  ฟลุ๊คจะโทรไปหา"แน่ว"  เพื่อนที่รักมากที่สุด  แล้วจะถามว่าว่างมั้ย
แน่ว...จะตอบว่า  เอาเลยมึง  กูจะไม่ถาม
หลังจากนั้นฟลุ๊คจะร้องไห้  ร้องอย่างเดียว  แล้วแน่วก็จะนั่งฟังฟลุ๊คร้องไห้อยู่แบบนั้นเป็นชั่วโมง
"บางครั้งเวลาที่เราเห็นเพื่อนสียใจ   อย่าถามอะไรมาก  แค่เข้าไปนั่งเป็นเพื่อนเงียบๆก็พอ"  แค่นี้ก็ช่วยได้มากแล้วจริงๆ   แล้ว"เมื่อถึงเวลาที่เพื่อนพร้อม   เราแค่พยุงมันให้ลุกขึ้น  และเดินไปข้างๆกันก็พอ"  อย่าไปซ้ำเติมอะไร   แค่เดินจูงมือกัน  เดินกอดคอกัน  แบบที่เพื่อนคนนึงจะทำให้เพื่อนได้.....

ป.ล.วันนี้ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเขียนเกริ่นมายาวจัง   แค่ช่วงเวลาที่ผ่านมา  ได้เอาหนังสือเก่าๆมาอ่าน  ได้มานั่งอ่านสิ่งที่ตัวเองเคยเขียนไว้  แล้วรู้สึกว่าอยากกลับมาเขียนอีกครั้ง  ใครที่ติดตามมาตั้งแต่เขียนสเปสใน msn ขอบคุณที่ยังตามมาถึงตอนนี้นะคะ   จะเริ่มกลับมาเขียน  และเล่าเรื่องราวต่างๆให้มากขึ้น  พร้อมกับสูตรอาหารแสนอร่อยและทำง่ายเหมือนเดิม   ขอบคุณนะคะ  ที่ยังติดตามกันมาเสมอ...

บทความนี้ขออุทิศแด่  ผู้หญิงหรือใครก็ตามที่เดินทางมาถึงทางแยก  และเลือกที่จะเดินแยกออกไปคนเดียวอย่างกล้าหาญ   หนทางต่อไปมันจะอาจจะเหงาที่ต้องเดินคนเดียว  อย่ากลัวที่จะเหงา  แต่จงกล้าหาญที่จะเดินต่อไปอย่างมีความสุขกับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า  ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ  bon voyage!!!

ส่วนแฟนเพจที่ติดตามเรื่องอาหารมาตลอด  วันนี้ขอแนะนำเมนูง่ายๆ  "สตูไก่"  หายไปนาน  คือจะบอกว่า  ที่บ้านเค้ามีเตาไฟฟ้าแว้วววว  ได้มือสองมาถูกๆค่ะ  แต่ก็เป็นเตาเล็กๆ  เหมือนใครๆที่อยู่ในคอนโดนั่นแล   ส่วนใครไม่มีครัว  ไม่มีเตาไฟฟ้า  ทะนำให้ใช้กระทะไฟฟ้าได้ค่ะ  อร่อยเหมือนกัน  อิอิ
เริ่มจากวัตถุดิบ  น้ำสต็อกไก่ หอมใหญ่  แครอท  มันฝรั่ง  มะเขือเทศ  ซอสมะเขือเทศ  น้ำตาล เกลือ  พริกไทย  ผงกระเทียม เพื่อใช้ในการหมักไก่  ใครจะใช้น่อง  สะโพก  อก  ก็ได้นะคะ  แต่ปีกไม่แนะนำเพราะเวลาที่เราเคี่ยว  ปีกจะเปื่อยง่ายค่ะ   อย่างที่บอกว่าทำง่ายๆตามสูตร  เลยไม่มีเครื่องเทศเช่นใบเสจ  ใบทามและวูสเตอร์ซอสนะคะ  เริ่มที่หมักไก่ด้วยเกลือ  พริกไทย  ผงกระเทียม  เท่านี้เองค่ะ  ตั้งกระทะ  แล้วน้ำไก่ลงไปทอดให้มีสีสันที่สวยนะคะ  จะเอาไปอบก็ได้ค่ะ   แล้วน้ำไก่พักทิ้งไว้

ตั้งกระทะ   ใส่เนยลงไป  นำหอมหัวใหญ่  แครอท  มันฝรั่งลงไปผัดกับเนยให้หอมมมม





แล้วใส่น้ำสต็อกไก่ใส่ลงไป  ใครไม่มีใช่น้ำต้มกับซุปก้อนก็ได้ค่ะ  แต่พอดีฟลุ๊คชอบต้มแช่แข็งเอาไว้







เคี่ยวไปจนน้ำสต็อกไก่ละลาย  แล้วเติมซอสมะเขือเทศ    มะเขือเทศลงไป  ใครจะใช้มะเขือเทศลูกใหญ่  ลูกเล็กได้หมดนะคะ





เสร็จแล้วก็วางสะโพกติดน่องไก่ที่เราทอดหรืออบไว้ลงไปค่ะ  ใหญ่เต็มหม้อเบย อิอิ
ถ้าน้ำแห้งไป  เติมน้ำลงไปเล็กน้อยนะคะ  อย่ามาก  เดี๋ยวน้ำผักจะออกมาอีก








เคี่ยวไปเรื่อยๆ  จนผักทั้งหมดเปื่อยนุ่ม  น้ำข้นขึ้น  ชิมรสค่ะ  ที่ไม่บอกให้ปรุงรสอะไรคั้งแต่ทีแรก  เพราะอย่าลืมว่าเราหมักไก่ไปแล้ว  แล้วน้ำสต็อคเราก็มรรสชาติดี  ซอสมะเขือเทศก็มีทั้งรสหวานและเปรี้ยวอยู่แล้ว   จึงแนะนำให้ชิมรสตอนสุดท้ายค่ะ  บางคนอาจทำออกมารสชาติพอดีไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่ม  แต่บางท่านอาจจะขาดเค็มนิด  ขาดหวานหน่อย  ค่อยเติมลงไปนิดๆหน่อยๆทีหลังได้นะคะ  ปรับรสตามคุณและคนที่คุณรักชอบ  เท่านี้ก็ตักยกเสริฟร้อนๆได้แล้วค่ะ







เห็นมั้ยคะ  มันง่ายมากกกกกกกกกกก  แถมอร่อยด้วย  ลองไปทำกันดูนะคะ  แล้วอย่าลืมทำให้คนที่คุณรักทานกันด้วยนะคะ  Bon appetit !!!!




วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Beef Fajita thai style บีฟ ฟาฮิต้าแบบคนไทยที่ไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศ อร้อยยยยยยอร่อยยยยยยยย



สวัสดีค่ะมิตรรักแฟนเพจทุกท่าน  กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ (ทักเหมือนนักจัดรายการวิทยุสมัยก่อน)  เนื่องจากที่ผ่านมามีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น  ทำให้ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย  มันเหนื่อย  มันท้อไปหมด

เอิ่มมมมมมมมมมมมมมมมมพล่ามมาเยอะจริงๆ   กลับมาเข้าเรื่องฟาฮิต้ากันดีกว่า   ฟาฮิต้าเป็นอาหารจานด่วนของเม็กซิกันค่ะ   รู้จักจากไหน  จาก sex and the city  ตอนที่เอเดนใช้ครัวของแครรี่ครั้งแรก  ถ้าใครเป็นแฟนพันธ์แท้คงจะจำกันได้   แล้วก็เลยเริ่มหาสูตร  แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำซักที  เพราะคิดว่าถ้าจะใส่เครื่องเทศ ยี่หร่า  คุณแม่คงไม่ปลื้ม  เลยคิดพลิกแพลงเอาแบบไทยสไตล์ละกัน  เหมือนแกงเผ็ดคราวที่แล้ว   สำหรับคนที่ไม่ค่อยถูกกับกลิ่นเครื่องเทศแรงๆค่ะ

มาเริ่มกันที่เครื่องปรุงค่ะ  ไม่ได้ถ่ายมาทั้งหมด  แต่จะอธิบายเป็นขั้นตอนนะคะ  แป้งทอทิญ่า  ซื้อได้ตามซุปเปอร์ที่ขายของตปท เยอะๆค่ะ  เนื้อวัว  แล้วแต่ความชอบนะคะ  ใครชอบแบบติดมันไม่ติดมัน
พริกหยวก แดง  เหลือง  เขียว  แต่ฟลุ๊คชอบให้รสจัดหน่อย  สีเขียวเลยขอเปลี่ยนเป็นพริกหนุ่มแทน  หอมหัวใหญ่  ใบร็อคเกต
ส่วนมะเขือเทศ  ผักชี  หอมแขกเราเอามาทำเป็นซาลซ่า ราดลงไปอีกทีค่ะ  


ส่วนเครื่องเทศี่ฟลุ๊คใช้เป็นตัวนี้ค่ะ   พริกป่นผสมเครื่องเทศ  แต่จะเป็นพวกงา พริกป่น พวกที่กลิ่นไม่แรง  เอาโรยบนซุปอะไรพวกนี้ค่ะ   แล้วก็เพิ่มเติมด้วย  กระเทียมสับ  น้ำมันมะกอก วูสเตอร์ซอส และพริกป่น



ส่วนเนื้อก็หั่นสไลด์บางๆ  ให้เป็นเส้นนะคะ  เวลาห่อทานจะได้ไม่ทานลำบาก  ใครจะย่างเป็นชิ้นแล้วมาหั่นก่อนทานที่หลังก็ได้ค่ะ  แล้วแต่ไม่ว่ากัน


ก่อนเริ่มทุกสิ่งอย่าง  เราก็หมักเนื้อด้วย กระเทียม  น้ำมันมะกอก  พริกป่นผสมเครื่องเทศ  เกลือ  พริกไทย  วูสเตอร์ซอส ใครไม่มีใช้จิ๊กโฉ่วก็ได้ค่ะ  แต่ฟลุ๊คไม่มีทั้งสองอย่าง  เลยใช้บัลซามิคซอสแทน  ไม่ต้องมากนะคะ  เหยาะๆ พอหมักเนื้อน่ะค่ะ  อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน  และที่เพิ่มเข้าไปคือพริกป่นค่ะ   ชิมรสที่ตัวเองชอบ  เผ็ดน้อยเผ็ดมาก  แล้วหมักทิ้งไว้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง   แล้วก็หันไปทำซาลซ่ามะเขือเทศ  ทำบ่อยแล้ว   ขออนุญาติก๊อบจากอันเก่ามาละกันนะคะ  หั่นมะเขือเทศ หอมหัวใหญ่เป็นลูกเต๋า ซอยผักชีลงไป ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย พริกแอบสับพริกขี้หนูลงไป บีบมะนาวลงไป   เพื่อเพิ่มรสชาติค่ะ แค่นี้เอง แล้วก็เอาไปแช่ตู้เย็นรอไว้  แล้วก็หั่นพริกหยวก  หอมหัวใหญ่ไว้รอค่ะ



แล้วก็ตั้งกระทะ(ไฟฟ้า) ให้ร้อน  คือถ้าใครไม่ชอบให้เนื้อสุกเกินไป  ให้ใส่น้ำมันมะกอกแล้วเอาพวกพริกและหัวหอมลงไปผัดก่อนค่ะ  แต่วันนี้ฟลุ๊คอยากได้เนื้อสุกๆหน่อย   เลยเอาเนื้อลงไปผัดพร้อมผัดต่างๆเลย



ผัดให้ทุกอย่างสุก  สีสลด  เป็นอันว่าใช้ได้  แล้วตักใส่จานเตรียมไว้ค่ะ  น้ำแป้งทอทิญ่า  เข้าไมโครเวฟประมาณ 30 วินาที   แล้วตักเนื้อและพริกหยวกลงไปวาง


ตักซาลซ่ามะเขือเทศโปะลงไป   วางทับด้วยใบร็อคเกต  เป็นอันเสร็จค่ะ  เสริฟพร้อมกับเบียร์เย็นๆนะ
แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม





หรือถ้าใครชอบชีส  ใส่เฟต้าชีสลงไปเพิ่มก็ได้ค่ะ  ยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก  ขอบอกกกกกกกกก





เสร็จแล้ววววววววววววววววววววววววววว  ไม่ยากเลยนะคะ  มีแค่กระทะไฟฟ้าก็ทำได้ค่ะ
แล้วอย่าลืม  ทำให้คนที่คุณรักทานด้วยนะคะ  Bon appetit ค่ะ ^^





วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ฉันไม่สามารถเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ได้ แม้ว่าจะมีหลายคนผ่านเข้ามาในชีวิตฉันก็ตาม


 
 
 
 
มหัศจรรย์แห่งรัก..

หยวน ตี้เปา ในวัย 83 ปี และแดนนี่ หลี่ ในวัย 82 ปี กำลังนั่งอ่านจดหมายด้วยกัน และทั้งคู่ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันนานถึงมากกว่าครึ่งศตวรรษ..

นี่คือเรื่องราวความรักของคนคู่หนึ่ง ที่ฝ่ามรสุมการเมืองและชีวิตส่วนตัว เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษ กระทั่งได้มาพบกันอีกครั้ง ได้สมปรารถนาครองคู่ครองรักกันในยามไม้ใกล้ฝั่ง

สาวลูกครึ่ง แดนนี่ หลี่ กับ นายหยวน ตี้เปา พบกันที่เมืองหังโจวในฤดูใบไม้ผลิ ปี 2496 แต่โชคชะตาทำให้เขาทั้งสองพรากจากกันไปไกลถึงคนละซีกโลก นานถึง 54 ปี และปาฏิหาริย์แห่งรักก็เกิดขึ้น นำพาพวกเขามาพบกันอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งสองได้กลับมาครองรักแต่งงานกันในที่สุด ในวัยกว่า 80 ปี!

เรื่องราวตำนานรักของทั้งสอง ได้กลายเป็นข่าวยอดนิยมในหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์จีน นอกจากนี้ บรรดาชาวเน็ตจีน ต่างยกย่องความรักของคู่รักคู่นี้ว่าเป็น “ความรักที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลก”

แดนนี่ หลี่ กล่าวว่า “มันเหมือนความฝัน ฉันไม่เคยคาดหวังว่าจะได้พบเขาอีกครั้ง”

หลี่ เกิดในปี 2469 ณ กรุงปักกิ่ง มีแม่เป็นชาวฝรั่งเศส และพ่อเป็นชาวจีน เมื่อเธออายุ 24 ปี ก็ได้เป็นอาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดคนหนึ่งในวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เจ้อเจียง ในเมืองหังโจว และด้วยความเชี่ยวชาญถึง 4 ภาษา คือ ภาษาจีน อังกฤษ รัสเซีย และภาษาฝรั่งเศส จึงทำให้เธอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก

หยวน ตี้เปา นักศึกษาปีหนึ่ง รูปหล่อ วัย 25 ปี ผู้เป็นหัวหน้าชั้นเรียน และเป็นนักศึกษาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชั้นเรียนภาษารัสเซียของหลี่ หยวนทั้งฉลาดและขยัน ซึ่งเขาพิสูจน์ด้วยการได้คะแนนสอบมากที่สุดในชั้นเรียน

“เขาเป็นคนดี ทั้งยังดีกับคนอื่นๆด้วย บรรดานักศึกษาและครูอาจารย์ล้วนชอบเขามาก” หลี่ รำลึกหยวนในช่วงวัยเรียน

ขณะที่ หลี่ เริ่มศึกษาถึงตัวตนของหยวน เธอก็พบว่า ทั้งหยวนกับเธอ มีสิ่งที่คล้ายกันอยู่มาก และความรู้สึกอันแสนอบอุ่นของหลี่ที่มีให้หยวน ก็ได้พัฒนาไปสู่ความรักอันแสนบริสุทธิ์ในที่สุด

ถึงแม้สังคมจะมองความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์เป็นเรื่องไม่ดีนัก ทั้งคู่ก็ยังสนิทสนมกัน โดยมีเพียงครอบครัวของหลี่เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้

ทุกๆครั้งที่หยวนไปขอคำปรึกษาเรื่องการเรียนที่ห้องทำงานของหลี่ พวกเขาก็จะนัดกันต่อหลังเลิกเรียน

...เมืองหังโจว ที่แห่งความรักอันแสนหวานปานน้ำผึ้ง

ที่หังโจว หยวนมักเดินไปส่งหลี่ที่บ้าน และแวะบ้านของหลี่ครู่หนึ่งเสมอ ครอบครัวของหลี่ก็มิได้ขัดขวางแต่ประการใด กลับต้อนรับชายหนุ่มผู้มีเสน่ห์และมีความสุภาพอ่อนโยนนี้อย่างดี

เมื่อทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกัน หลี่มีความสุขหวานชื่น ขณะที่หยวน กลับสับสนว้าวุ่นอยู่ระหว่างความสุขและความรู้สึกผิด

“ฉันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เขาเก็บงำไว้” หลี่ เล่า

ในตอนนั้น สิ่งที่หลี่ไม่รู้ ก็คือ หยวนได้แต่งงานมีภรรยาแล้ว

ครอบครัวของหยวนได้จัดการให้เขาแต่งงานกับน้องสาวของเพื่อนที่บ้านเกิด ในเกาะกู่ลั่งอี่ว์ เมืองซย่าเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน ก่อนที่หยวนจะเข้าเรียนที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์ของเมืองแห่งนี้ ในปี 2496

หยวนไม่ได้บอกหลี่ เรื่องที่เขาแต่งงานแล้ว

จนกระทั่งเมื่อปี 2497 ก่อนที่หยวนจะย้ายไปศึกษาต่อยังเมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน(เสฉวน) เขาจึงได้รวบรวมความกล้า และบอกกับหลี่ว่า

“ผมมีภรรยาแล้ว และจะต้องดูแลเธอไปจนกว่าจะตายจากกัน”

หัวใจของหลี่ร้าวรานเมื่อได้ยินคำสารภาพของหยวน และแม้ว่าจะรักหยวนมากเพียงใด แต่ทั้งคู่ก็จำต้องแยกจากกั

“ฉันไม่มีทางเลือก เราไม่ควรมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้หญิงที่เป็นผู้บริสุทธิ์อีกคน” หลี่ ให้ความเห็น

หลังจากนั้น หลี่และหยวนก็ไม่ได้พบกันอี

.......จากกันไกลถึงซีกโลก...

ในปี 2499 หลี่ กับแม่ของเธอได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะออกจากประเทศจีน หลี่ได้เขียนจดหมายบอกลาหยว

ทว่าไม่กี่วันต่อมา หยวนก็ได้สร้างความประหลาดใจด้วยการส่งจดหมายอีกหลายฉบับ จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มติดต่อกันผ่านทางจดหมายมาตลอด

โดยจดหมายจากหลี่ จะส่งไปถึงที่ทำงานของหยวน ขณะเดียวกัน หยวนก็เก็บจดหมายทุกฉบับของหลี่ไว้ที่บ้านญาติ เพื่อไม่ให้ภรรยารู้

หลี่ ต้องดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ในสังคมที่เธอไม่คุ้นเคยในประเทศฝรั่งเศส ประกอบกับใบรับรองคุณวุฒิทางการศึกษาของเธอก็ยังถูกปฏิเสธ อีกทั้งวัฒนธรรมที่แตกต่างจนทำให้เกิดความรู้สึกสับสน

หลี่ ได้เรียนรู้การเขียนชวเลข และการพิมพ์ดีด จนท้ายที่สุดก็ได้งานในตำแหน่งเลขานุการของบริษัทการค้าระหว่างประเทศแห่งหนึ่ง ขณะที่ หยวนก็สำเร็จการศึกษาและเริ่มทำงานในซย่าเหมิน

เนื้อความในจดหมายของทั้งสอง แทบจะไม่มีการระบายถึงความทุกข์ยากของแต่ละฝ่าย หยวนเล่าถึงความสุขที่ได้เป็นพ่อคน ขณะที่ หลี่ ก็ส่งนมผงสำหรับทารกและเสื้อผ้าเด็กมาให้ ซึ่งในขณะนั้นในประเทศจีนยังค่อนข้างขาดแคลนสินค้าดังกล่าว

เมื่อถึงช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม (2509-2519) จดหมายของหลี่ก็เริ่มถูกตีกลับ และเธอได้หยุดเขียนจดหมายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับหยวน แต่หลี่ ก็ไม่สามารถลืมหยวนได้

“ฉันไม่สามารถเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ได้ แม้ว่าจะมีหลายคนผ่านเข้ามาในชีวิตฉันก็ตาม ฉันพบว่าความรักของหยวน เป็นรักแท้ และรู้สึกถึงความพิเศษที่ไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้” หลี่ เผยความใน

ในปี 2519 ทันทีที่หลี่มั่นใจว่าความวุ่นวายจากการปฏิวัตวัฒนธรรมในประเทศจีนได้สงบลง เธอก็เขียนจดหมายส่งไปยังที่ทำงานของหยวนเช่นเคย แต่จดหมายดังกล่าวถูกตีกลับ ในตอนนั้น เธอไม่รู้ว่า หยวนได้เปลี่ยนที่ทำงานแล้ว ซึ่งในปี 2516 หยวนได้เขียนจดหมายบอกหลี่ แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่ง ทั้งคู่ก็ได้ติดต่อกันอีกครั้ง เมื่อเดือนพ.ค.ปีนี้เอง (2553) นานถึง 45 ปี ที่ทั้งสองพรากจากกันหลังจากได้ติดต่อกันครั้งสุดท้าย

แสงสว่างฉายโฉนบนเส้นทางรัก...

ช่วงระหว่างเทศกาลตรุษจีน (ปลายเดือนก.พ.) โอวหยัง ลู่อิง ลูกสะใภ้คนที่สามของหยวน ได้ล่วงรู้จากญาติที่เป็นผู้ช่วยกุมความลับจดหมายของหลี่ไว้ ว่า พ่อสามีของเธอ ได้เคยตกหลุมรักกับครูต่างชาติสาวสวย เธอกล่าวว่า

“เมื่อได้ฟังเรื่องของพ่อสามีฉัน ก็สัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งในความรัก และเมื่อแม่สามีของฉันได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2537 ฉันจึงขอให้พ่อเขียนจดหมายอีกครั้ง”

แม้ตลอดชีวิตที่ผ่านมา หยวนมักจะไปยังสถานที่ที่เขากับหลี่เคยมาด้วยกันเป็นประจำในเมืองหังโจว แต่หยวนก็ไม่เคยคาดคิดที่จะกลับไปติดต่อกับหลี่อีก

จนเมื่อลูกสะใภ้โอวหยังได้ปลุกความทรงจำทั้งหมดจากก้นบึ้งในจิตใจ หยวนจึงมีกำลังใจและมีความหวังที่จะพบกับหลี่อีกครั้ง เขาใช้เวลาหลายวันในการเขียนจดหมายทั้งสิ้น 5 ฉบับ นอกจากจะเขียนเป็นภาษาจีนอวยพรให้หลี่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว หยวนยังเขียนถึงญาติของหลี่เป็นภาษาอังกฤษ ด้วยเกรงว่าหลี่อาจเสียชีวิตแล้ว โดยเขียนว่า

"ผมเป็นนักเรียนและเพื่อนของหลี่ และต้องการทราบถึงที่อยู่ของหลี่"

ทุกๆ วันเว้นวัน หยวนได้ส่งจดหมาย 1 ฉบับ และหากไม่ได้รับจดหมายตอบกลับเลยสักฉบับ เรื่องราวต่างๆ ก็อาจต้องยุติลงเพียงเท่านี

ในที่สุดก็มีจดหมายส่งตรงจากฝรั่งเศส หยวนซึ่งบัดนี้อายุ 80 ปี ได้เปิดจดหมายฉบับนั้นด้วยมือที่สั่นเทา และได้เห็นลายมือที่คุ้นเคยอีกครั้ง หยวนเล่าถึงความรู้สึก ณ ขณะนั้น ว่า “ขอบคุณสวรรค์ เธอยังมีชีวิตอยู่” ในซองจดหมายมีรูปของหลี่แนบมาพร้อมกับเนื้อความ 3 หน้ากระดาษ บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอว่า...

"ในปี 2517 เป็นระยะเวลา 9 ปี หลังจากการติดต่อกันครั้งสุดท้าย ฉันจบการศึกษาภาษาจีนและได้รับคุณวุฒิเทียบเท่ามหาบัณฑิต จึงได้งานสอนภาษาจีนในมหาวิทยาลัยช็อง มูแลง - ลียง 3

ในปี 2535 ฉันเกษียณในตำแหน่งรองศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยดังกล่าว และจากนั้นได้ทำงานเป็นรองประธานองค์กรไม่แสวงกำไรที่ช่วยเหลือนักศึกษาชาวจีนในมหาวิทยาลัยนี้

เธอยังคงครองโสดและอยู่เพียงลำพังหลังจากที่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตลง

ในวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา หลี่กลับมาถึงบ้านก็พบจดหมายของหยวนวางอยู่ที่พื้น เธอเล่าว่า “ฉันยังไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เพราะฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง”

เธอนั่งมองจดหมายของหยวนที่สวนในบ้านตั้งแต่เที่ยงวันไปถึงเที่ยงคืน กระทั่งเมื่อรุ่งอรุณเบิกฟ้าของวันถัดมา เธอก็ได้รับจดหมายของหยวนอีกฉบับ หลี่จึงมั่นใจว่า มันไม่ใช่ความฝัน

จากนั้นทั้งคู่ได้เริ่มส่งจดหมายหากันเหมือนแต่ก่อน และในบางครั้ง ด้วยความช่วยเหลือของโอวหยัง ทำให้ทั้งหลี่ และหยวน ได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์ แต่ไม่นานก็กลับไปใช้การเขียนจดหมายเช่นเดิม เพราะหยวนมีปัญหาด้านการได้ยิน

ในการคุยโทรศัพท์ครั้งแรก หลี่ ได้เล่าว่า “โอวหยัง เรียกฉันว่าคุณแม่แดนนี่ ยังไม่เคยมีใครเรียกฉันว่าแม่มาก่อน ฉันไม่สามารถอธิบายความรู้สึกอันแสนวิเศษนี้ได้”

หนึ่งเดือนต่อมา หยวนได้เชิญชวนให้หลี่มาที่ซย่าเหมิน และได้บอกกับหลี่ว่า “เธอต้องการมาอยู่กับฉันหรือแค่มาเยี่ยมก็ได้ แล้วแต่เธอจะตัดสินใจ”

เมื่อหลี่ มาถึงซย่าเหมิน หยวนและครอบครัวก็ได้พบกับเธอที่สนามบิน และ ณ เวลานั้น หยวนได้ถือช่อกุหลาบอันสวยสด 55 ดอก เพื่อขอเธอแต่งงาน หลี่ได้ตอบรับคำขอของหยวน จากนั้นทั้งคู่ก็ได้จดทะเบียนสมรสกันในวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา หนึ่งวันก่อนถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวชาวจีนกลับมาพบปะกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

ในวันที่ 26 ก.ย.2553 บุตรชายของหยวน ได้จัดงานแต่งงานให้กับพวกเขา จากนั้น ทั้งหลี่และหยวนก็ได้อาศัยอยู่ในบ้านของบุตรชายคนที่ 3 และในทุกๆเช้า หยวนกับหลี่ ก็จะจับมือกันเดินตากลมทะเลริมชายหาดรับกลิ่นอายรุ่งอรุณของวันใหม่อันแสนอบอุ่น

หลี่ กล่าวปิดท้ายตำนานรักสุดขอบฟ้าของเธอกับหยวน ว่า “สิ่งที่ผ่านมาแล้ว ก็ให้มันผ่านไป เราต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เคียงข้างกันตลอดไป ฉันมีปัญหาด้านการมอง และเขามีปัญหาด้านการฟัง ดังนั้นฉันจึงเป็นหูให้กับเขา และเขาก็เป็นตาให้กับฉัน เราเติมเต็มกันและกัน”

(ภาพข่าวจาก ไชน่า เดลี่/ เครดิต Manager online)

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

เมนูมังสวิรัติ สเต็กเค้กเต้าหู้ โปะด้วยซัลซ่าฉ่ำๆ เสริฟพร้อมกับสลัดเย็นจัดๆชื่นจาย

กราบบบบบบสวัสดีงามๆ  และกราบบบบขออภัย  ต้องเข้าใจคนบ้านไม่มีครัว  ถ้าฝนตกก็ออกไปทำหลังบ้านไม่ได้เพราะใช้กระทะไฟฟ้า  โดนไฟดูดประจำอิอิ  ไม่ได้หาย  แต่เก๊าไม่พร้อมมมมม
พอดีว่าแฟนเพจเค้าขอเมนูมังฯมา  ย้ำด้วยว่าของ่ายๆอ่ะค่ะ   ตอนแรกก็คิดหนัก  ไม่ใช่เพราะทำยาก  แต่ช่วงนี้อยากกินแต่สิ่งที่มีเลือดเนื้อ 5555  นั่งนึกอยู่ตั้งนาน  แล้วด้วยความที่ช่วงนี้อากาศร้อนเหลือหลาย  เลยนึกถึงซัลซ่ามะเขือเทศเมนูสิ้นคิดที่จะคิดถึงเสมอเวลาร้อนๆ  เลยเอาวะ  หาอะไรที่กินเข้ากันได้ดี  ที่เป็นประโยชน์อิ่มท้อง  เพื่อสุขภาพและความสวยความงาม (เยอะ!!!!!!!) ก็เลยได้เค้กเต้าหู้ เอามาทำสเต็ก  แล้วโปะด้วยซัลซ่าดีกว่า  แหะๆ  ก็ยอมรับว่ามันสิ้นคิด  แต่ก็นะ  ออกมาอร่อยนะจ้าาาาา
เริ่มที่ส่วนผสมเครื่องปรุงค่ะ
     เห็ดอะไรก็ได้แล้วแต่ชอบค่ะ  เพราะเดี๋ยวเราจะเอามาสับค่ะ  เต้าหู้ชนิดอ่อนให้เอาไปแช่แข็งไว้จนแข็งเลยนะคะ  แล้วเอาออกมาตั้งไว้ข้างนอกก่อนทำจนละลายแล้ว  ให้เอาออกมาบีบเอาน้ำออกค่ะ  ที่เห็นเป็นก้อนกลมๆนั่นล่ะค่ะ   เนื้อแบบนี้จะนิ่มกว่าไม่แข็ง  แต่ก็ไม่เละค่ะ  หอมหัวใหญ่  มะเขือเทศ ผักชี  แครอท  เนย  เครื่องปรุง เกลือ พริกไทย  แล้วก็เครื่องเทศโรยเนื้อสเต็กค่ะ จะมีส่วนผสมของกระเทียม  เกลือ  พริกไทยค่ะ  เริ่มที่การทำชัล๙่าก่อนนะคะ  เหมือนครั้งก่อนที่เคยทำไปแล้วเลยค่ะ  หั่นมะเขือเทศ  หอมหัวใหญ่เป็นลูกเต๋า  ซอยผักชีลงไป  ปรุงรสด้วยเกลือ  พริกไทย  พริกแอบสับพริกขี้หนูลงไป 2 เม็ด  เพื่อเพิ่มรสชาติค่ะ  แค่นี้เอง  แล้วก็เอาไปแช่ตู้เย็นรอไว้


หันมาทำตัวเนื้อเต้าหู้กันค่ะ  ขั้นแรก  ให้สับเห็ดและแครอทให้ละเอียดดดดดดมากกกก แล้วตักเนย 1 ช้อนชาโปะลงไป  เข้าไมโครเวฟ 3 นาทีค่ะ   คือจริงๆอ่ะ  อยากให้เอาไปรวนในกระทะนะคะ  แต่พอดีวันนี้ฝนตก  ข้างนอกพื้นมันเปียก  กลัวโดนไฟดูด  ฟลุ๊คเลยใช้ไมโครเวฟค่ะ


พอสุกแล้วก็เอาเต้าหู้ลงไปขยี้คลุกให้เข้ากัน  ใส่หอมใหญ่สับละเอียดลงไป  ปรุงรสด้วยซอสเห็ดหอมลงไปนิดๆ  ไม่ใช่ซีอิ๊วขาวนะคะ  ที่เป็นเหมือนซอสหอยนางรมน่ะ  แต่เอาที่เป็นซอสเห็ดหอมน่ะค่ะ  นั่นแหละ   แล้วก็เหยาะแม๊กกี้ลงไปอีกหน่อย  ปรกติเค้าจะใส่แต่เกลือพริกไทย  แต่ฟลุ๊คทำใจไม่ได้จริงๆ  ขอหน่อยเถอะ   กลัวมันจะเต้าหู๊เต้าหู้เกินไป  เสร็จแล้วก็โรยผงเครื่องปรุงที่โรยสเต็กอีกนิดหน่อย  ตอกไข่1ฟอง  ใครทำเยอะใช้ 2 ฟองก็ได้ค่ะ โรยด้วยแป้งข้าวโพด(เยอะหน่อย)  เพื่อที่ทุกอย่างจะได้เหนียวและเกาะตัวกัน  ง่ายต่อการปั้นและไม่แตกเวลาทอดค่ะ


คลุกให้เข้ากัน  แล้วก็นำมาปั้นเหมือนเนื้อฮัมเบริกค่ะ   เสร็จแล้วก็ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอกลงไปนิดหน่อย   แล้วค่อยๆหยอดเค้กเต้าหู้ที่เราปั้นแล้วลงไป  ค่อยๆนะคะ  เพราะมันจะแตกได้ ทอดด้วยไฟอ่อน  ให้ข้างนอกค่อยๆสุก  ปิดฝาด้วยนะคะ  มันจักระเด็นค่ะ คอยดูว่าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นเหลืองน่าทานรึยัง  คอยแซะด้วยเดี๋ยวจะติดกระทะ  เสร็จแล้วก็ค่อยๆย้ำ ค่อยๆ  พลิกอีกด้านทอดจนหอมมมม  สีเหลืองน่าทานค่ะ  แต่ก็นะฟลุ๊คไม่ได้ใช้กระทะค่ะ  เลยเอาเข้าเตาอบแทน  เอาน้ำทันทาถาดเหล็ก  และทาบนเนื้อเค้กเต้าหู้แล้วเอาเข้าเตาอบค่ะ   แต่จริงๆเนี่ย  ไม่อยากให้ใช้เตาอบเลย  เพราะเนื้อเต้าหู้ของเรามันจะแห้งค่ะ  ไม่ชุ่มเหมือนเอาไปทอด


แถ่นแท้นนนนนนนนนนนน  เค้กเต้าหู้เหลืองหอม  อร่อยมั้ยยังไม่รู้55555
พอเค้กเต้าหู้ของเราสุกเหลืองได้ที่  ก็ตักใส่จานที่เราเตรียมไว้   โปะซัลซ่าลงไป  จะทานคู่กับผักผัดเนยก็ยิ่งอร่อยค่ะ  แต่ช่วงนี้ต้องควบคุมน้ำหนักด้วย  เลยสลัดละกัน  สวยๆเกร๋ๆ


เสร็จแล้วค่ะ  ง่ายมากกกกกกกกกกขั้นตอนนิดเดียว  ทำแป้บเดียวก็ทานได้ค่ะ  ออกมาอร่อยด้วยอ่ะ  ลองไปทำทานกันดูนะคะ
ป.ล.ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา  มีแฟนเพจเพิ่มขึ้น  มีเพื่อนเยอะขึ้น  ต้องขอขอบคุณเวปจีบันที่เลือกกระทู้ของฟลุ๊คไปลงด้วยค่ะ   สัญญาว่าถึงแม่กระทะไฟฟ้าจะเหลือหูข้างเดียว  ก็ยังจะทำสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบต่อไปค่ะ   ติดตามเป็นเพื่อนกันแบบนี้ไปเรื่อยๆน้า   ขอบคุณมากค่ะ  ขอบคุณทุกคนจ้าาาา


แล้วอย่าลืมทำให้คนที่คุณรักทานกันด้วยนะคะ  Bon Appetit ค่ะ ^^

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

แกงเผ็ดมัสมั่นไก่ แกงกะหรี่ไก่ จะเรียกว่าอะไรดี เยอะอย่างแต่อร่อยน้า

สวัสดีค่ะมิตรรักแฟนเพจทุกคน  ที่หายไปนานไม่มีข้อแก้ตัวใดๆค่ะ  กระทะไฟฟ้าที่บ้านหูเหลือข้างเดียว  เลยทำอะไรไม่สะดวก  เลยไม่ทำมันเลยค่ะ  โมโห 55555555
แต่วันนี้อยากกินอะไรที่มันซับซ้อนแปลกๆ  เลยนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านหลังเก่าที่มีทั้งครัวไทยและครัวฝรั่ง  ทำนั่นนี่เยอะมาก  แต่มีอยู่เมนูนึงที่เวลาไปทำบุญก็จะทำไปถวายพระ  หลวงพี่บอกว่าอร่อยมาก  ทำมาบ่อยๆนะโยม  เราก็เลยเป็นปลื้ม  แต่พอย้ายมาอยู่บ้านที่ไม่มีครัวก็เลยลำบากหน่อยค่ะ  ไม่ได้ทำเลย  เพราะมันจะซับซ้อนหน่อย
แต่พอดีมีแผ่นแป้งโรตีแช่อยู่ในช่องแข็งมาหลายชาติ  ก็เลยเอาน่ะ  อยากกินก็ต้องทำ  รสชาติถูกใจเราที่สุดละ  เมนูนี้ฟลุ๊คดัดแปลงมาอีกทีค่ะ  เพราะบอกตรงๆไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศมากเกินไป  (ขออภัยหากท่าเป็นชาติที่ชอบกินเครื่องเทศ หรือเป็นอาหารประจำชาติของใคร)  คือถ้าไปกินที่ร้าน  จะไม่ค่อยถูกปากค่ะ  วันนี้ก็เลยจะขอทำเอง
เมนูวันนี้ขอเสนอ แกงเผ็ดมัสหมี่  คือมันใช้เครื่องเทศ แกงเผ็ด  มัสมั่น และแกงกะหรี่ค่ะ  ถ้ามีแต่มัสมั่นกับแกงกะหรี่มันจะไม่ค่อยเผ็ดค่ะ  จะออกไปทางหวาน  ก็เลยเพิ่มเครื่องแกงเผ็ดลงไป  ส่วนแกงกะหรี่จะช่วยเรื่องกลิ่นค่ะ  มาเริ่มกันที่เครื่องปรุงกันเลย
ก็จะมีเครื่องแกงเผ็ด  เครื่องแกงกะหรี่  เครื่องแกงมัสมั่น มันฝรั่ง แครอท  หัวหอมใหญ่ มะเขือเทศ  แอปเปิ้ลเขียว  พริกเหลืองสด อันนี้ใช้เพิ่มความเผ็ดค่ะ   ก่อนที่เราจะเริ่มลงมือทำกัน  ให้หมักไก่ไว้กับเครื่องเทศ+โยเกิร์ต+กะทิ ก่อนนะคะ  แต่พอดีฟลุ๊คถ่ายไว้แต่ตอนที่เทกะทิอย่างเดียวแหะๆ

แล้วก็หั่นผักทุกอย่างเล็กใหญ่แล้วแต่ความชอบ  ฟลุ๊คหั่นไม่เล็กไม่ใหญ่พอดีเคี่ยวไปไม่เละค่ะ ตามภาพ
เสร็จละก็หันไปทำแป้งโรตีให้สุกค่ะ  ฟลุ๊คแบบสำเร็จมา  หาได้ทั่วไปตามห้างฟลุ๊คแนะนำให้อบไมโครเวฟให้พองหน่อยแล้วค่อยเอามาจี่กับกระทะอีกทีค่ะ ที่ทำแบบนี้ก่อนเพราะมีกระทะใบเดียว ฮี่ๆ

กลับมาที่ไก่เราหมักไว้กับเครื่องแกงต่างๆและกะทิ  พอเราจะเริ่มทำ  ให้เทกะทิที่เราหมักไว้ลงไปในกระทะ  เพิ่มเครื่องแกงลงไป  อัตราส่วน เครื่องแกงกะหรี่ 1 ถุงตามภาพแรก  ไม่อยากโฆษณายี่ห้อละ  แกงมัสมั่น ครึ่งถุง  แกงเผ็ดครึ่งถุง คือที่ใช้ทั้งหมดนะคะ  ตอนที่หมักไก่ อาจใส่ลงไปหมดเลย หรือมาเพิ่มทีหลังได้  แต่ใช้แล้วไม่ควรเกินกว่านี้ค่ะ  

ตั้งกระทะไฟฟ้า  เอาเครื่องแกงและกะทิลงไปผัดให้หอม  เพราะถ้าไม่หอม พอแกงละจะเหม็นเขียวนะคะ  แล้วก็เอาไก่ลงไปผัดค่ะ  ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะค่ะ  ถ้าทำเยอะ 1 ช้อนพูนนะคะ  ถ้าชอบเผ็ดๆให้เพิ่มพริกเหลืองที่ซื้อมาลงไปด้วยค่ะ  รสชาติจะจัดจ้านและเจ้มจ้นค่ะ
พอเนื้อไก่เริ่มตึง  ก็เทผักลงไปผัดค่ะ  ผัดได้ซักพัก  ก็เทลงหม้อหุงข้าวต่อ  เพื่อเวลาเคี่ยวจะได้สะดวก


พอมาถึงตอนนี้กลิ่นจะฟุ้งไปทั่วบ้าน  และหน้าตาจะน่ากินฝุดๆ ถ้าลองชิมตอนแรก  รสชาติมันจะปะแล้มๆละนะ  เพราะรสชาติจากมะเขือเทศ  แต่ถ้าลองตั้งไฟไปเรื่อยๆ  รสชาติจะกลมกล่อมอูมามิเป็นอันใช้ได้ค่ะ     แต่ที่ทำให้ฟลุ๊คต้องช๊อคคือ  รูปที่ถ่ายไว้ตอนที่เคี่ยวต่อในหม้อ  เผลอลบไปค่ะ T^T  ทำอะไรไม่ได้แว้ว  ตอนเลือกรูปมาลง  มือไวไปหน่อย
แต่ไม่เป็นไร  ถ้าคุณๆทั้งหลายลองไปทำดูก็จะทราบเองค่ะ   เคี่ยวไปซักชั่วโมงนะคะ  หรือใครชอบเละๆเปื่อยๆ  ก็เคี่ยวจนคนแล้วไม่เห็นมะเขือเทศที่เราหั่นไว้นั่นแหละค่ะ  โอเคละ
พอเสร็จแล้วก็ตักใส่ถ้วย  กินพร้อมกับแป้งโรตี  หรือตักราดข้าวสวยร้อนๆ  ใครอยากทำอาจาดทานด้วยก็ไม่ว่ากันค่ะ
อันนี่ใส่กล่องไว้ให้ญาติค่ะ  ตัดแป้งโรตีหน่อยเพื่อความสะดวกและง่ายต่อการกิน  ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ  ถึงจะหลายหลากขั้นตอนไปหน่อย  ลองไปทำดูนะคะ  แนะนำว่าทิ้งไว้ซักคืนจะอร่อยและนัวขึ้นค่ะ
ป.ล.  อย่าลืมทำให้คนที่คุณรักทานด้วยนะคะ  Bon Appetit ค่ะ